การจัดการโรคและแมลงช่วงปลายฝนต้นหนาว
การจัดการโรคและแมลงช่วงปลายฝนต้นหนาว
การจัดการโรคและแมลงช่วงปลายฝนต้นหนาว
เริ่มเข้าสู่ช่วงอากาศชื้นและหนาวเย็นเกษตรกรจะต้องมีการระวังโรคและแมลงศัตรูพืชอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะพืชที่อ่อนแอต่อโรคและเสียหายได้ง่าย โรคยอดฮิตช่วงปลายฝนต้นหนาว เช่น ราน้ำค้าง ราแป้ง และแมลง เช่น หนอนใยผัก หนอนคืบ เป็นต้น ดังนั้นการป้องกันก่อนเกิดการระบาดจึงสามารถลดความรุนแรงและไม่เกิดความเสียหายกับผลผลิต
ควรจัดการพืชช่วงปลายฝนต้นหนาว
1.เลือกพืชพันธุ์พืชที่ปลูกให้เหมาะสมกับอากาศหนาวพืชผัก เช่น กะหล่ำ มะเขือเทศ
2.มีการเตรียมแหล่งน้ำให้เพียงพอต่อการปลูกพืช ในแต่ละชนิด
3.ควรเตรียมวัสดุคลุมแปลงเพื่อรักษาความชื้นในดิน
4.ในช่วงฤดูหนาวพืชจะชะงักการเจริญเติบโต
การใช้ธาตุอาหารรอง ธาตุอาหารเสริม ทีเอบี ซิงค์ ที่มีส่วนประกอบของ ธาตุสังกะสี อัตรา 5-10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ทุก 7-10 วัน หรือใช้ ไบโอไลฟ์ เอ็ม 40 สารกลุ่มอมิโน แอซิล ซึ่งเป็นโปรตีนจากพืช ช่วยลดความเครียดจากสภาพแวดล้อมเนื่องจากอากาศเปลี่ยนแปลง อัตราการใช้ 20 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร และ ซีวีด 45 ที่มีส่วนประกอบของสาหร่ายสกัดซึ่งมีความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุสูง ช่วยให้พืชดูดซึมธาตุอาหารต่างๆได้ดี
5.โรคที่มักพบระบาดในช่วงฤดูหนาว
5.1 โรคราน้ำค้างในพืชตระกูลผักกะหล่ำ ตระกูลแตง และพืชผักอื่นๆ (Downy mildew) เช่น กะหล่ำปลีผักกาด บร็อคโคลี่ คะน้า เมล่อน โหระพา เป็นต้น ซึ่งโรคนี้มีสาเหตุมาจากเชื้อรา Peronospora parasitica, Pseudoperonospora cubensis และ Peronospora sp.โดยในช่วงอากาศชื้นมักพบการระบาดของโรคนี้ได้บ่อย เนื่องจากเชื้อราจะปลิวมากับลม โรคสามารถเกิดได้ในทุกระยะของผักตั้งแต่เมล็ดงอกจนถึงเก็บเกี่ยว หากสังเกตใต้ใบจะพบกลุ่มของสปอร์เชื้อราเป็นผงสีเทาเป็นกลุ่ม ๆ ต่อมาจะทำให้เกิดแผลสีเหลืองบนใบละกลายเป็นสีน้ำตาล ใบร่วง หากรุนแรงอาจทำให้ใบแห้งตาย ในระยะกล้าจะทำให้ต้นโทรมและตาย
5.2 โรคราแป้งในพืชตระกูลผักกะหล่ำ ตระกูลแตง พืชผัก ไม้ดอก และไม้ผล (Powdery mildew) เช่น กะหล่ำปลีผักกาด บร็อคโคลี่ แตงกวา เมล่อน มะม่วง เป็นต้น ลักษณะของโรคและอากาศคล้าย ๆ กับราน้ำค้าง โรคนี้มีสาเหตุมาจากเชื้อรา Oidium โดยพบอาการที่ใต้ใบ และพบกลุ่มราสีขาวคล้ายผงแป้งบนใบ
การป้องกันกำจัด แนะนำให้ใช้ชีวภัณฑ์ เจน-แบค อัตรา 100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือใช้ เจนแบค+ไตรแท๊บ อัตรา 50+50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร สามารถใช้ป้องกันตั้งแต่ก่อนปลูกพืช รองก้นหลุม ฉีดพ่นลงดิน ราดหรือปล่อยไปกับระบบน้ำ และฉีดพ่นลำต้นพืชทุก 5-7 วัน สามารถใช้ผสมสารกำจัดแมลง ปุ๋ย ฮอร์โมน และธาตุอาหารเสริม ควรฉีดพ่นช่วงเวลาเย็น อากาศไม่ร้อน ฉีดพ่นทั่วทั้งต้นพืช
6.แมลงที่พบเข้าทำลายของหนอนใยผัก, หนอนกระทู้ผัก(หนอนรัง), หนอนกระทู้หอม(หนอนหนังเหนียว), หนอนกระทู้หลอดหอม, หนอนเจาะสมอฝ้าย และหนอนผีเสื้อ
แนะนำให้ใช้สารชีวภัณฑ์ ทีเอบี บีทีเอ เป็นสารชีวภัณฑ์กำจัดแมลง ชนิดกินตาย ผสมน้ำ อัตรา 80-100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร (4 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร) ฉีดพ่นให้ทั่วต้นพืชทุก 5-7 วัน ฉีดพ่นทันที่ เมื่อเริ่มพบการเข้าทำลายของหนอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะที่หนอนยังมีขนาดเล็ก หรือเพิ่งออกไข่ และควรฉีดพ่นในเวลาเช้าตรู่หรือเวลาเย็นเนื่องจาก ทีเอบี บีทีเอ เป็นสารชีวภัณฑ์ ประกอบด้วยเชื้อแบคทีเรียที่มีชีวิตแสงแดดจะทำให้ประสิทธิภาพของเชื้อลดลง
7.หากพบการเข้าทำลายของ ไรแดง แมลงหวี่ขาว เพลี้ยแป้ง หนอนกระทู้ผัก เพลี้ยหอย เพลี้ยอ่อน และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
แนะนำให้ใช้สารชีวภัณฑ์ บิว-เวอร์ อัตราการใช้ 80-100 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร โดยผสมสารจับใบให้เข้ากับน้ำ ก่อนใส่เชื้อ จากนั้นคนให้เข้ากัน ควรฉีดพ่นเชื้อบูเวอเรียเวลาเย็น อากาศไม่ร้อน ฉีดพ่นให้ทั่วทั้งต้นพืช
ผู้เรียบเรียง
หนึ่งฤทัย ไหมพรหม
เอกสารอ้างอิง
พิสุทธิ์ เอกอำนวย. 2563. โรคและแมลงศัตรูพืชที่สำคัญ. เชียงใหม่ : สวนสัตว์แมลงสยาม. หน้า 1008.
Center for Agriculture, Food, and the Environment. University of Massachusetts Amherst. https://ag.umass.edu/
College of Food, Agricultural, and Environmental Sciences. The Ohio State University. https://ohiograpeweb.cfaes.ohio-state.edu/ipm/diseases/powdery-mildew
23 พฤษภาคม 2567
ผู้ชม 1656 ครั้ง